1. ฝนและท้องฟ้าครึ้ม
-
แผงโซลาร์เซลล์ยังทำงานได้แม้ไม่มีแดดจัด เพราะยังมี แสงกระจาย (diffused light) ผ่านเมฆ
-
ในวันที่ฝนตกหนักหรือท้องฟ้าครึ้ม แผงอาจผลิตไฟฟ้าได้ ประมาณ 20–40% ของวันที่แดดจ้า
-
ฝนมีข้อดีคือช่วย ล้างฝุ่นและคราบสกปรก บนผิวแผง ทำให้แผงสะอาดและรับแสงได้ดีขึ้นเมื่อแดดกลับมา
สรุป: ฝนลดกำลังผลิตลง แต่ไม่หยุดทำงาน
2. เงาจากต้นไม้หรือสิ่งปลูกสร้าง
-
เงาที่บังเพียงบางส่วนของแผงอาจลดประสิทธิภาพได้มาก เพราะแผงเชื่อมต่อกันแบบวงจรเดียว
-
เงาบังเพียง 10–20% ของพื้นที่แผง อาจทำให้กำลังผลิตลดลง ถึง 30–50%
-
พื้นที่ที่มีเงาบังควรใช้ ไมโครอินเวอร์เตอร์ (Micro Inverter) หรือ ออปติไมเซอร์ (Optimizer) เพื่อให้แต่ละแผงทำงานได้อย่างอิสระ
สรุป: เงาคือศัตรูสำคัญที่ควรเลี่ยงให้มากที่สุด
3. ความร้อนสูง
-
หลายคนเข้าใจผิดว่าร้อนจัดจะผลิตไฟฟ้าได้มาก แต่ความจริงคือแผงไวต่อความร้อน
-
อุณหภูมิสูงกว่า 25°C ทุก ๆ 1°C กำลังผลิตจะลดลงประมาณ 0.3–0.5%
-
ในช่วงบ่ายที่แผงอาจร้อนกว่า 50°C จะผลิตไฟฟ้าน้อยกว่าช่วงเช้าที่อากาศเย็นกว่า
สรุป: แดดแรงดี แต่ถ้าร้อนเกินไปก็ลดกำลังผลิตลงเล็กน้อย
ข้อแนะนำ
-
ติดตั้งแผงในตำแหน่งที่ รับแดดเต็ม ไม่มีเงาบังตลอดวัน
-
เลือกแผงที่มี ค่าอุณหภูมิสัมประสิทธิ์ต่ำ (Low Temperature Coefficient)
-
ให้ช่างผู้เชี่ยวชาญสำรวจพื้นที่ก่อนติดตั้งเพื่อประเมินเงาและทิศแดดอย่างละเอียด
สรุปผลกระทบโดยรวม
-
ฝน: ลดลงประมาณ 20–40% แต่ยังผลิตไฟฟ้าได้
-
เงา: ลดได้สูงถึง 30–50% แม้เงาเพียงเล็กน้อย
-
ความร้อน: ลดลงประมาณ 0.3–0.5% ต่ออุณหภูมิที่สูงขึ้น 1°C
การเข้าใจผลกระทบเหล่านี้จะช่วยให้คุณวางแผนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ได้คุ้มค่าที่สุด และได้พลังงานสูงสุดตลอดทั้งปี